Last Updated on 09/02/2021
เกิดอะไรขึ้นกับหุ้น Alibaba
หลังจากรัฐบาลจีนหยุดการ IPO ของ Ant Financial เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน
ต่อมาไม่นานเดือนธันวา Alibaba ก็มาถูกรัฐบาลจีนสั่งเข้าตรวจสอบด้วยข้อหาว่า Alibaba ผูกขาดและบังคับให้ผู้ขายขายของแต่บนแพลตฟอร์มของ Alibaba เท่านั้น
เหตุการณ์นี้ทำให้หุ้นของ Alibaba ตกจากราคาสูงสุดที่ 319 เหรียญ สู่จุดต่ำสุดเมื่อวานที่ 211 เหรียญ
นับเป็นการลดลงสูงถึง 34% ในระยะเวลาเพียง 2 เดือน
คำถามไม่ใช่เหตุผลว่าอะไรทำให้หุ้น Alibaba ตกลงมาขนาดนี้ เพราะเราเองก็ไม่มีวันรู้ว่าเหตุผลที่แท้จริงของรัฐบาลจีนคืออะไร แต่จะมาดูกันว่าตอนนี้เป็นโอกาสที่ดีในการซื้อหุ้น Alibaba หรือไม่? น่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า
มุมเทคนิค
เริ่มต้นที่กราฟเทคนิคจะเห็นว่า Alibaba เป็นหุ้นอีกตัวที่นักเทคนิคน่าจะชอบมากๆ เพราะวิ่งขึ้นลงตาม Channel แบบเป๊ะเวอร์
ดูที่กราฟเราจะเห็นว่าหุ้น Alibaba วิ่งทะลุ Channel ขึ้นไปเมื่อกลางเดือนสิงหาที่ราคา 265 เหรียญ อยู่ตรงนั้นได้เป็นเดือนจนหลายคนคงคิดว่าน่าจะเปลี่ยน Channel ชันขึ้น ไปเรียบร้อยแล้ว
เหตุที่วิ่งทะลุทะลวงขนาดนั้น ส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะ Ant Financial ซึ่ง Alibaba ถือหุ้นอยู่ 33% กำลังจะ IPO เข้าตลาดหุ้น ถ้า Ant เข้าตลาดได้ ก็จะเป็นประโยชน์กับ Alibaba เช่นกัน
ทุกอย่างกำลังราบรื่นแต่แล้วดันมีเหตุการณ์ที่แจ๊คหม่าไป “ให้ความเห็น” กลางงานสัมมนาว่า ธนาคารของจีนทำตัวเหมือนโรงจำนำ ปล่อยกู้ให้แต่คนที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน
หลังจากนั้นรัฐบาลจีนเข้ามาเบรก IPO ของ Ant Financial เอาไว้ ด้วยเหตุผลว่า กฎหมายใหม่ของ Online Lender มีการเปลี่ยนแปลง และ Ant Financial ไม่ได้ทำตามกฎหมายนั้น
หลังจากนั้นแจ๊คหม่าก็โดนเชิญไปดื่มชากับรัฐบาลจีนและหุ้นก็ตกลงมาอยู่ใน Channel เดิมที่เบรกขึ้นไป
แต่เรื่องยังไม่ได้จบแค่นั้น เพราะหลังจากนั้น Alibaba ก็โดนเรืองธุรกิจผูกขาดเข้าไปอีกจนหุ้นตกลงมาเหลือ 211 เหรียญ
ถ้าเราดูที่กราฟจะเห็นว่าราคาลงมาที่ High เมื่อตอนปี 2018 พอดีๆ ตอนนั้นเป็นตอนที่หุ้น Tech ปรับฐานกันทั่วโลก
แนวรับขนาดใหญ่มากๆอีกอันซึ่งเอาอยู่มาตลอดตั้งแต่ Alibaba เข้าตลาดคือแนวรับ 180 เหรียญ
ถ้านับจาก 211 เหรียญ ก็ถือว่าไม่มากเท่าไหร่ต่างกันประมาณ 15%
ถ้า Assume ว่าแนวรับที่ 180 เหรียญตรงนี้จะรับอยู่ การรอเอา 15% ที่เหลือเทียบกับ Upside 30-40% อาจจะไม่คุ้มค่ารอ
เพราะการลงมาครั้งนี้ลงมาจากการโดนรัฐบาลเล่นงาน ลองนึกภาพว่าถ้าพรุ่งนี้รัฐบาลจีนกลับมาประกาศว่า Alibaba โอเคแล้ว หุ้นน่าจะดีดกลับอย่างรวดเร็วได้เช่นกัน ดังนั้นที่จุดนี้นักลงทุนต้อง Weight ว่าจะยอมเสี่ยงกับอีก 15% หรือควรจะซื้อเลย
ต้องบอกว่าถ้าดูในมุมเทคนิคอย่างเดียวจะดูเหมือนน่าซื้อแต่….
มุมพื้นฐาน
จะดูแต่กราฟอย่างเดียวก็คงนอนไม่ค่อยจะหลับ เพราะถ้าพื้นฐานเปลี่ยนขึ้นมา ผมคิดว่าแนวรับไหนก็คงเอาไม่อยู่ ดังนั้นเรามาดูกันว่าพื้นฐานจะเปลี่ยนไหม
ประเด็นที่ Alibaba และ Ant Financial ถูกโจมตีมีอยู่หลักๆ 2 ประเด็นด้วยกันคือ เรื่องผูกขาด และเรื่องการให้บริการทางการเงินอย่างพวกสินเชื่อ ซึ่งรัฐบาลจีนมองว่าควรมีแต่ธนาคารเท่านั้นที่ทำได้
ประเด็นแรกเรื่องผูกขาด จากข้อมูลคือ Platform E-Commerce ในจีนไม่ใช่แค่ Alibaba มีการให้ความสำคัญกับพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของบน Platform ที่เดียวมากกว่าคนที่ขายหลายที่ ประเด็นนี้รวมถึงการขายของต่ำกว่าราคาทุนเพื่อฆ่าคู่แข่ง
โดย Platform อาจจะช่วยด้วยกันให้อยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่า หรือโชว์ให้คนซื้อเห็นบ่อยกว่า อันนี้เกิดขึ้นจริง แต่คิดว่าถ้าประเด็นอยู่ตรงนี้แก้ปัญหาไม่น่ายาก อาจจะกระทบช่วงสั้น
ส่วนเรื่องประเด็น Market Share ในหมวด E-commerce ปัจจุบัน Alibaba มี Market share (วัดจาก GMV) ที่ 52% โดยมีเบอร์ 2 คือ JD 18.5% Pinduoduo 11.7%
ส่วนในหมวด Cloud Alibaba มี Market Share อยู่ 62.5% เบอร์ 2 คือ Tencent ที่ 22% และ Baidu ที่ 8.3%
ถ้าดูแบบนี้จะรู้สึกเหมือนว่าอ้าวเฮ้ย นี่มันผูกขาดชัดๆ แต่ถ้าเอาไปเทียบกับอุตสาหกรรมอื่นเช่น
- Social Media ที่ Tencent มี Traffic share 86.5%
- ธุรกิจ Music ที่ Tencent มี Traffic share 92%
- ธุรกิจส่งอาหารที่ Meituan มี Market share 73%
- ธุรกิจท่องเที่ยวที่ Ctrip มี Market share เกือบ 100%
พอดูแบบนี้แล้วจะรู้สึกว่าการผูกขาดในกลุ่ม E-Commerce และ Cloud ของ Alibaba ดูมุ้งมิ้งไปทันที
ดังนั้นประเด็นการผูกขาดนับว่ามีประเด็นอยู่บ้าง แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่า Regulator ในจีนจะมองยังไง
อย่างไรก็ตามถ้าปรากฏว่าสิ่งที่ Alibaba ทำเข้าข่ายผูกขาด Alibaba อาจถูกปรับสูงถึง 7,800 ล้านเหรียญ
ประเด็นที่ 2 เรื่องธุรกิจสินเชื่อ ประกัน ธุรกิจ Wealth รัฐบาลจีนอยากให้ Ant Financial กลับไปเป็นแค่ Payment Gateway Provider
ธุรกิจของ Ant Financial สำคัญกับรัฐบาลจีนมากกว่า E-commerce เพราะการเงินถือเป็นระบบสำคัญที่ควรถูกกำกับดูแลโดยรัฐ นอกจากนั้นระบบการเงินยังเป็นแหล่งข้อมูลมหาศาลซึ่งไม่ควรตกอยู่ในมือของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง
ปัจจุบันนี้ Ant ถือว่าเป็นบริษัทเดียวในจีนที่สามารถต่อท่อตรงถึงลูกค้ากว่าพันล้านคนได้เลยซึ่งเป็นสิ่งที่แม้แต่ธนาคารกลางยังทำไม่ได้ และนี่อาจเป็นสิ่งที่รัฐบาลกลัว
ข่าวลือบอกว่าตอนไปจิบน้ำชาแจ๊ค หม่า บอกรัฐบาลไปว่า “พวกคุณจะเอาอะไรของ Ant ไปก็ได้ ถ้ามันเป็นสิ่งที่ประเทศชาติต้องการ”
มีทั้งร้ายและดี ข้อร้ายคือผู้ถือหุ้นของ Alibaba อาจเสียผลประโยชน์บางส่วนไป ข้อดีคือเหมือนแจ๊ค หม่าจะเริ่มรู้งานและยอมเกี้ยเซี้ย (ประนีประนอม)
สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาคือ Ant อาจต้องผู้ถือหุ้นเป็นหน่วยงานรัฐบาลมากขึ้น ร้ายหน่อยคืออาจต้องเสียธุรกิจบางส่วนไป รวมถึงธุรกิจบางตัวอาจถูก Nationalized
ตอนนี้ทางฝั่งรัฐบาลอยู่ระหว่างการตัดสินใจว่าจะเอายังไง ทาง Ant และ Alibaba ก็กลับไปปรับปรุงธุรกิจให้ตรงกับกฎเกณฑ์ที่รัฐบาลวางไว้ รวมถึงตรงกับ Core Value และแผนพัฒนาที่ประเทศจีนต้องการจะไป
อย่างไรก็ตามการ Crack Down แบบนี้ของจีนเกิดขึ้นมาหลายรอบแล้ว เคยเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรม Game ของ Tencent อุตสาหกรรม Tutor ของ TAL
ตอนนั้น Tencent ตกจาก 477 ลงไปเหลือ 249 TAL ตกจาก 47 ลงไปเหลือ 21
ทั้งคู่ตกลงไปประมาณครึ่งหนึ่ง แต่หลังจากนั้นก็กลับมา All Time High ได้ ใช้เวลาประมาณ 1-2 ปี
ผมคิดว่ารอบนี้ Alibaba ก็เช่นกัน แต่จะนานเท่าไหร่ไม่มีใครบอกได้
สรุปเอาไงกับหุ้น Alibaba
คิดว่าพื้นฐานเปลี่ยนไหม? ผมว่าเปลี่ยนแน่นอนจะมากจะน้อยแต่ไม่คิดว่าจะทำให้บริษัทถึงกับเจ๊ง หรือเจ็บหนัก
สำหรับผม คิดว่าการทยอยซื้อน่าจะเป็นวิธีการที่เหมาะสมที่สุดณ.เวลานี้ จะแบ่งเป็น 3 ไม้หรือ 5 ไม้ก็แล้วแต่หน้าตักและการยอมรับความเสี่ยงได้ของแต่ละคน
เพราะรัฐบาลจีนเองตอนนี้ต้องการเปิดประเทศ ก็ต้องทำให้การทำธุรกิจในประเทศจีนดูมีมาตรฐานในระดับสากล ไม่งั้นต่อไปใครจะกล้ามาลงทุนในจีน?
ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีจำนวนมหาเศรษฐีมากกว่าสหรัฐฯและอินเดียรวมกัน แต่ก็มีคนจนกว่า 600 ล้านคนที่มีรายได้ต่ำกว่า 4,500 บาทต่อเดือน นับว่ามีทั้งโอกาสที่มาก และความเสี่ยงบางอย่างที่ต้องเข้าใจ
ถ้าลงทุนในสหรัฐฯบอกว่า Don’t fight the Fed ของจีนคงเป็น Don’t fight the CCP (Chinese Communist Party)
Xi Jinping เคยพูดว่า “North, South, East, West, the Party leads everything”
ครั้งนี้คงไม่ต่างกัน และโลกออนไลน์ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
ชอบบทความวิเคราะห์หุ้นรายตัวแบบนี้ ช่วยกด Like เป็นกำลังใจให้ เพจเทรนด์ลงทุน ด้วยนะครับ
COMMENTS